การมีสติ ไม่ได้หมายถึงว่าจิตเราจะต้องไม่ล่องลอยหนีออกไปจากกรรมฐานที่ทำ แต่เราจะเข้าใจทั้ง ๒ ส่วน คือส่วนของเจตนาที่มันอ่อนลง เมื่อเจตนาที่อ่อนลง ไม่ได้เป็นไปด้วยความสืบเนื่องในบทที่เรากระทำอยู่ หรือท่องอยู่ หรือพิจารณาอะไรอยู่
.
ฉะนั้นส่วนที่อยู่เหนือเจตนาจึงเข้ามาทำงานแทนที่โดยปกติ จิตไม่ได้ถูกดึงออกไปไหน หรือหนีออกไปไหน และไม่จำเป็นต้องดึงกลับมา สติสามารถรับรู้ได้ทั้งส่วนที่เป็นเจตนาเดิมที่อ่อนลง และส่วนที่นอกเจตนาที่ทำหน้าที่แทนเจตนาเดิมภายในจิตนั้น
.
เมื่อเรารู้ทั้ง ๒ ส่วน ดีไม่ดี ก็ให้ส่วนที่อยู่นอกเหนือเจตนานี่แหล่ะ ทำงานของเราไปเลย และเราก็รับรู้ว่า อ๋อ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งนี้เท่านั้นเอง
.
คำว่ามีสติก็คือ เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นอย่างนี้ในจิต ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับตนเอง ต้องอยู่กับตัวเอง ต้องควบคุม ต้องบังคับ ต้องให้มันนิ่งอยู่ตลอดหรืออยู่กับ กรรมฐานบทนั้นอยู่ตลอด มันไม่ใช่ นี่เป็นธรรมชาติโดยปกติอยู่ที่แล้ว ที่จะต้องมีเจตนา แล้วเจตนานั้นไม่สามารถเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยกำลังของเจตนานั้นอ่อนลง มันอ่อนลงได้เพราะมันยังไม่เพียงพอต่อการที่จะตั้งมั่น อันเหนือเจตนาก็เลยแทรกเข้ามา ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร
———- พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)
ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม live
ณ พุทธอุทยานดอยเวียงเกี๋ยงวนา
วันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕