วิธีปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ไม่มีวิธีที่ตายตัว แต่มีหลักการอยู่ที่ว่า ผู้ที่ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ ก็จะได้เป็นโสดาบัน
ซึ่งหลักการนี้ บ่งบอกความเป็นพระโสดาบันไว้อย่างตายตัวอยู่แล้ว ผู้ปฏิบัติเพียงแค่ทำความเข้าใจเนื้อหาของหลักการนี้ให้ถ่องแท้ด้วยวิธีของตนเอง (แล้วแต่ใครจะมีวิธีการของตนอย่างไร)
เนื้อหาที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ด้วยตนเองก็คือ สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดในกาย ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนยึดกันมาตั้งแต่วันเกิดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ก็ยึดร่างกายเหมือนกันกับพวกเรา
เมื่อเรารู้ว่าเรายึดร่างกายอยู่ ก็เป็นความเห็นผิดของเราเองที่ทำให้เราเกิดมีสักกายทิฏฐิ(ความเห็นผิดในกาย) เจริญมากขึ้น
ในหลักการบอกว่า ละสักกายทิฏฐิได้ จะเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น วิธีการที่จะละสักกายทิฏฐิ จะต้องฝึกพิจารณากายให้มากๆ (เน้นย้ำ ต้องมากๆนะ) เพื่อถ่ายถอนความเห็นผิดออกจากจิตเรา อย่าเบื่อหน่ายต่อการพิจารณากาย หากเบื่อหน่าย ก็จะถอนสักกายทิฏฐิไม่ได้
การพิจารณากายนั้น ควรจะเป็นการพิจารณาแยกส่วนต่างๆ ของร่างกายเราออก แล้วให้รู้ด้วยปัญญา (ต้องรู้ด้วยปัญญาจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่รู้เฉยๆ) จนถ่องแท้แก่ใจของเราเองว่า ร่างกายเป็นเพียงแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม จริงๆ
จากนั้น ให้ฝึกดูร่างกายเป็นธาตุ ๔ นี้ไว้จนจิตเกิดการยอมรับว่า ร่างกายเป็นธาตุจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ของใคร เป็นการวมตัวกันของธาตุ ๔ ที่อยู่ในรูปแบบของ “กายสังขาร” เท่านั้น
เมื่อจิตเกิดการยอมรับกายตามที่เป็นจริงได้แล้ว ให้เฝ้าดูอารมณ์ของใจ ที่เกิดจากการ กระทบกับผัสสะภายนอก หรือภายใน ให้เห็นอารมณ์ที่มากระทบนั้นตรงๆ โดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน แล้วให้เฝ้าดูการดับเองของอารมณ์ให้ได้ (เน้นว่า ต้องดูการเกิดดับของอารมณ์ให้ได้)
ถ้าเห็นไม่ได้ เห็นไม่ทัน ก็ไม่ผ่าน และไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่จะปฏิบัติแทนวิธีนี้ สำคัญว่า ต้องเห็นการเกิด การดับขอวอารมณ์ให้ทัน
เมื่อทำได้อยู่เป็นประจำ และเนืองๆ ทำให้ติดต่อเนื่องกันไม่ขาดวัน ก็จะเกิดกำลังทางด้านอริยมรรคเป็นไปเพื่อทำลายสักกายทิฏฐิได้
และเมื่อสักกายทิฏฐิได้ถูกทำลายลง วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ก็จะถูกทำลายลงไปด้วยพร้อมกัน(เพราะเป็นกิเลสตัวเดียวกัน) ไม่ก่อนไม่หลังกัน ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้จะรู้ได้เอง
จารุวณฺโณ ภิกฺขุ