เราอาจจะกลายเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาคนอื่นก็ได้ แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม….
.เพราะความรู้สึกอิจฉา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของจิต ซึ่งมันไม่ได้ผิด ถ้ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่กับเรา แต่ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้บ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกอิจฉา ความอิจฉาจะกลายเป็นนิสัยติดตัวของเราไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้อยากเป็น ใช่มั้ยล่ะ?
# การกรทำที่เราควรระวัง คือ…
1. อย่าพยายามแกล้งทำเป็นว่ายินดีเพื่อต้องการให้ใครมองว่าเราดี
จุดนี้ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะต้องทำ เพื่อรักษามารยาท รักษาน้ำใจคนอื่นได้ ถ้าเพื่อจุดประสงค์นี้ สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราพยายามแสดงความยินดีมากเกินไป เพื่อจุดประสงค์ที่ “ต้องการให้ใคร ๆ มองว่าเราเป็นคนจิตใจดี” หรือ “เพื่อให้ใครมายอมรับเรา” ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ
เพราะลองสังเกตุดู ว่าเมื่อเราทำแบบนั้น เราจะรู้สึกเหนื่อยมากกกก กับการพยายามทำเพื่อให้คนอื่นพอใจ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่โอเค เพราะจริง ๆ แล้ว เราเนี่ยแหล่ะ ที่ต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกดี เพราะคิดว่าเราจะรู้สึกดี จากการที่คนอื่นมองว่าเราดี แต่เมื่อทำไปจริง ๆ แล้ว มันโครตจะเหนื่อยเลย
ถ้าให้พูดตรง ๆ เลย รู้กันดีใช่มั้ยคะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ ใคร “ปลอม” คนมักจะดูออกเสมอ และคนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ความต้องการส่วนลึกที่อยู่ข้างในของกันและกัน เป็นเหตุทำให้มองกันแค่ผ่าน ๆ ผิว ๆ แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดความไม่ชอบหน้ากัน หรือเข้าใจผิด
เราจึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่า การพยายามไปแบบนั้น จะเกิดผลดี หรือผลเสียอะไรตามมา
“หลอกใจตัวเองได้ แต่อย่าหลอกคนอื่น ” การหลอกใจตัวเอง ไม่ได้หมายถึง ไม่ยอมรับตัวเองที่ชอบรู้สึกอิจฉา
แต่หมายถึง การยอมรับก่อน แล้วค่อย ๆ หลอก ด้วยการค่อย ๆ เข้าไปป้อนนิสัยใหม่ให้ตัวเอง เข้าไปสอนจิตสอนใจข้างในตัวเอง เพื่อให้เปลี่ยนนิสัยไปในทิศทางที่ดี แบบที่เราต้องการจะเป็น
ซึ่งเธอก็สามารถเปลี่ยนได้ แต่ถ้าตอนนี้มันยังไม่ได้ ให้ย้ายจากการโฟกัสความพยายามที่การกระทำภายนอก มาโฟกัสที่ความพยายามภายใน ด้วยการสอนจิตสอนใจตัวเองก่อน ค่อย ๆ ไปทีละเสต็ป แบบช้า ๆ แต่ชัวร์ดีกว่า
2. อย่าผลักไสความคิดอิจฉาและก็อย่าคล้อยตามความคิดอิจฉา
เพราะความรู้สึกอิจฉา และความคิดลบ ๆ ที่มาจากความอิจฉาแบบ เห็นปุ๊บ คิดลบปั๊บ จริง ๆ เป็นความคิดที่ลึก ๆ แล้ว เราไม่ได้ตั้งใจจะคิดมันจริง ๆ หรอก แต่มันเกิดขึ้นไวมากโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว
ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดก็เหมือนกับปากที่พูดออกไป โดยไม่ทันคิด
ความคิดที่ว่า
“ไม่อยากให้เขาได้ดี”
“เก่งได้เพราะฟลุ๊คแหล่ะ”
“รอบหน้าขอให้มันพลาด เพี้ยง ๆๆๆ”
มันจะมีเสียงพูดอะไรแบบนี้ของมัน อยู่ในหัวของเราโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่สามารถเข้าไปห้ามความคิดมันได้จริง ๆ ยิ่งเราบอกว่า “หยุด หยุดคิดนะ ห้ามคิด” ยิ่งไปห้ามมันนั่นแหล่ะ ยิ่งทำให้ไม่หยุดคิด ยิ่งคิดได้ทั้งวี่ทั้งวัน
เพราะการห้าม แปลว่าเรา “กลัวความคิดนั้น” ไม่อยากให้ความคิดนั้นเกิด แต่การเข้าไปกลัว โดยที่ไม่ได้เข้าไปรู้ และดูมันเฉย ๆ จิตมันก็ยิ่งเข้าไปโฟกัสความกลัวนั้น และทำให้คิดยิ่งกว่าเดิม
และต่อให้เราจะห้ามจนหยุดความคิดมันได้จริง ๆ ในตอนนั้น แต่ครั้งหน้า เมื่อเหตุการณ์เดิมมันเกิดขึ้นอีก เราก็ต้องมาคอยต่อสู้กับความคิดของตัวเองทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และมันจะไม่มีทางแก้จากต้นตอได้เลยจริง ๆ
การแก้ปัญหาที่ต้นตอคือ ให้เข้าไปเรียนรู้ความคิด เข้าไปรู้ว่า “นี่คือความคิด ความคิดกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังถูกความคิดปรุงแต่ง ความคิดกำลังปรุงแต่งจิต” ย้ำ ๆ วนไปวนมา เพื่อสอนจิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ให้รู้ไว้ว่า ความคิด เป็นระบบการทำงานของจิตที่เกิดขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ และมันก็จะดับไปเองโดยอัตโนมัติเช่นกัน มันเลยไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะต้องไปพยายามดับมัน
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่ความคิดมันจะคิดเรื่องเดิมได้ตลอด 24 ชม. โดยไม่พักเลย ไม่สลับไปเรื่องอื่น คิดเรื่องกิน คิดเรื่องงาน คิดเรื่องชีวิตเลย ยังไงเรื่องทุกเรื่องมันก็ต้องดับไปในเวลานึงอยู่แล้ว
เพราะฉนั้น ที่มันได้ผลจริง ๆ คือ เวลามันคิด ก็ปล่อยให้มันแสดงออก แล้วมีหน้าที่แค่เข้าไปดูมัน เข้าไปรู้มันก็พอ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวความคิดที่อิจฉามันจะค่อย ๆ คิดน้อยลงไปเอง เพราะมันรู้แล้วว่า คิดอิจฉาแค่ไหน เราก็ไม่คล้อยตามมันอยู่ดี กลับเข้าไปดู เข้าไปสังเกตมันซะงั้น เอ้า! จิตงง เชื่อมั้ยว่าความคิดอิจฉามันจะลดลงไปเอง เราพิสูจน์มากับตัวแล้ว ถ้าไม่เชื่อ ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง
3. เมื่อเขาล้ม อย่า ซ้ำจุดนี้ถ้าเห็นว่าเขาล้มขึ้นมา ปกติเราอาจจะมีวิธีซ้ำเติมอยู่ 2 แบบ
1. การซ้ำเติมทางความคิด (ไม่เป็นไร)
ถ้าเราเผลอไปซ้ำเติมเค้าในความคิด เผลอมีความรู้สึกสะใจขึ้นมาทันทีที่เห็นเค้าล้ม ก็ไม่เป็นไร ให้รู้ว่า ที่เรารู้สึกแบบนี้ ที่เราคิดแบบนี้ เพราะมันมีกระบวนการทำงานของจิตที่เป็นอัตโนมัติ และมีความคิดนำพาให้เกิดความรู้สึกสะใจตามมา
ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไรหลังจากนั้น เพราะระบบของจิตมันเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง โดยที่เราเองก็ยังตามไม่ทันมันเวลาที่มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
สิ่งที่ต้องทำคือ ทำเหมือนข้อที่ 2 เลย ทุกครั้งที่ความสะใจมันเกิดขึ้น ให้เธอเข้าไปรู้ความคิดนั้น “ความคิดมันกำลังเกิดขึ้นกับจิตนะ จิตกำลังถูกความคิดนี้ปรุงแต่งอยู่นะ” ให้ทำเท่านี้ให้ได้ก่อน แล้วเราจะไม่คล้อยตามความคิดนั้น ความรู้สึกสะใจก็จะค่อย ๆ หายไปเอง
2. การซ้ำเติมทางคำพูด และการกระทำ
ตราบใดที่ยังมีสติอยู่ ไม่ว่าจะเกลียดเขา หรือรู้สึกไม่ดีกับเขาแค่ไหนก็ตาม ให้เสียงนั้นมันได้ยินอยู่แค่ในหัวของเราก็พอ ถ้าเป็นไปได้พยายามอย่าให้มันเล็ดลอกออกไปทางคำพูด หรือการกระทำ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่แสดงออกไปแล้ว สิ่งนั้นจะกลายเป็นกรรมทันที และทุก ๆ การกระทำจะให้ผลคืนมาแน่นอน
ผลของการกระทำที่เห็นได้จริง ๆ คือ อาจจะทำให้เราสร้างศัตรูขึ้นมาเพิ่ม คนอาจจะมองเราเป็นคนนิสัยไม่ดี คนอาจจะไม่อยากที่จะช่วยเหลือเราในเวลาที่เราเดือดร้อน หรือในวันที่เราล้ม เราก็มีสิทธิ์ที่จะโดนซ้ำเติมได้เหมือนกัน
.และที่แน่ ๆ เราจะกลายเป็นคนนิสัยแบบนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้
# ถ้าเธอเคยทำทั้ง 3 ข้อนี้ หรือคิดว่าตอนนี้กำลังเป็นอยู่ ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านไปแล้ว และมันจะผ่านไป แม้มันเพิ่งจะเกิดขึ้นกับเธอเมื่อ 1 นาทีที่แล้วก็ตาม ให้เธอกลับมาโฟกัสที่ปัจจุบัน คือวินาทีนี้เท่านั้น และถ้าวินาทีนี้มันเกิด ก็แค่พยายามเข้าไปรู้มันเท่านั้น
แล้วถ้าปัจจุบัน มีการกระทำในอดีตที่กำลังส่งผลกับเธออยู่ ก็ไม่เป็นไร ให้ยอมรับไปตรง ๆ ว่า อ๋อ ผลจากการที่เราได้รับตรงนี้ มันมีเหตุมาจากสิ่งนี้นะ มีเหตุมาจากการกระทำของเราในอดีตแบบนี้นะ ให้ยอมรับมัน ก็มันผ่านไปแล้ว แก้ไขอดีตไม่ได้แล้ว แต่เธอสามารถมาตั้งใจแก้ไขปัจจุบันได้ ด้วยการเปลี่ยนนิสัยใหม่ที่เธออยากจะเป็น เพื่อทดแทนนิสัยเก่าที่ไม่ได้คู่ควรกับเธอจริง ๆ
# แต่ถ้าตอนนี้ เธอกำลังรู้สึกอึดอัดกับตัวเองข้างใน
เราเปิดพื้นที่ ให้ระบายมาได้ที่ใต้โพสต์นี้ได้เต็มที่เลยค่ะ พูดแค่เรื่องที่เป็นเรื่องของตัวเองนะคะ ระบายเสร็จแล้ว แล้วมาพัฒนานิสัยด้านดี ๆ ไปด้วยกันนะ ^^
เผยแผ่หลักธรรม : #พระอาจารย์ต้น – จารุวณฺโณ ภิกฺขุ
ที่ปรึกษาหลักธรรม : พระอาจารย์มหาหินท์
Content Creator : #น้ำทิพย์วนิ
Graphic Design : นักวาดอะนิเมะญี่ปุ่น