การแผ่เมตตา ไม่ได้แผ่เมตตาเพื่อให้ใครหยุดก่อกวนเรา พระพุทธเจ้าทรงบอกให้เราแผ่เมตตาเพื่อสอนให้จิตของเราไม่มีเวรต่อผู้อื่น …
ประโยชน์ของการแผ่เมตตา คือ ไม่ให้จิตของเราไปกระทำในสิ่งที่เป็นเวร อันได้แก่ การคิดร้าย การมุ่งร้าย การปรารถนาร้าย เพ่งโทษ คิดไม่ดีต่อคนอื่น ๆ …..
การแผ่เมตตาจึงเป็นการระวังใจของเราไ่ม่ให้ก่อเวร …
ส่วนคนอื่นจะก่อเวรต่อเราก็ให้เขาเป็นไป แต่เราจะต้องไม่มีจิตคิดที่จะเป็นเวรกับคนอื่น …
ใครจะโกรธเราก็ให้โกรธไป ใครโกรธคนนั้นก็ทุกข์ ความโกรธของเขาเป็นเรื่องของเขา ความโกรธเกิดขึ้นกับเขา ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา …
สำหรับผู้ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันมาก่อนจากอดีตชาติ เมื่อแผ่เมตตาแล้ว อำนาจแห่งการแผ่เมตตาจะไปสลายสัญญาณความเพ่งโทษ ความไม่พอใจ ความโกรธแค้น ความขุ่นเคืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ความโกรธที่มีให้กันนั้นลดลง หรือยุติไป …
แต่หากใครเป็นคู่ก่อเวรกันมาแต่ปางก่อน ซึ่งเรียกว่า “คู่เวร” กัน ต่อให้แผ่เมตตามากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ความโกรธที่มีต่อกันลดลงได้…
ต้องเข้าใจว่า “เมตตา” จะปกป้องคุ้มครองเรา แต่หากมีเวรต่อกันมาก่อน เมตตาจะช่วยเพียงบั่นทอนเวรที่มาถึงให้เบาบางลงได้เท่านั้น …
ในส่วนของคู่เวรที่มีลักษณะเป็นคู่เวรหนัก ๆ จะให้เวรสิ้นไปด้วยการแผ่เมตตาไม่ได้ เกิดอีกก็ต้องเจอกันอีก เวร (วิบาก) จะดึงให้มาเจอกันจนได้ เมื่อแผ่เมตตาแล้วยังคงจะเหลือเศษกรรมให้ประสบ …
จึงขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายไหนจะมีเมตตาเพื่อไม่เป็นการเพิ่มเวรให้กับตนเอง …
ดังนั้น เราต้องดูให้ออกว่าใครเป็นคู่เวรของเรา โดยเราต้องระวังใจไว้ไม่ให้ผูกเวรตอบ หรือไม่ให้กระทำเวรตอบ ส่วนคนที่เขามีเวรต่อกันเล็ก ๆ น้อย ๆ กำลังของการแผ่เมตตาจะไปสลายกระแสความโกรธไม่ให้เพิ่มมากขึ้นได้ ….
วิธีที่ดีที่สุดคือ “หาทางออกจากวัฏฏะ” เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีก …
เกิดอีก ก็ต้องตายอีก เจ็บอีก พลัดพรากอีก เสียใจอีก เศร้าโศรกอีก คับแค้นอีก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นอีก…
เป็นวงจรวนเวียนอยู่อย่างนี้ร่ำไป …
ต้องเป็นอย่างนี้ทุกผู้ ทุกนาม ทุกรูป ทุกคน ทุกตัว ทุกตน …
*******************************
จารุวณฺโณ ภิกฺขุ