การสวดมนต์เป็นเครื่องบ่งบอก ให้ทราบว่าสติปัญญาของมนุษย์ได้หยุดพัฒนาลงแล้ว เราจะไม่สามารถพัฒนาสติปัญญาของเราให้เข้าถึง ‘แก่น’ ของพระศาสนาได้เลย หากเรายุติอยู่เพียงแค่การสวดมนต์ เสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปาก เพื่อสร้างพลังเข้มขลังให้ขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ออกไปจากชีวิต แต่ก็ไม่สามารถขจัดปัดเป่าได้จริง เสียงดังระงมที่มาจากการสวดอ้อนวอนร้องขอ เป็นเสียงสะท้อนแห่งความอยากที่แฝงเร้นอยู่ในความเชื่อ ซึ่งเป็น “ค่านิยม” ที่ปลูกฝังในจิตใจคนให้เชื่ออย่างนั้นมายาวนาน สวดบทนี้จะเป็นเศรษฐี สวดเกินอายุจะมีโชค สวดหนึ่งร้อยแปดจบจะมีชัย สวดข้ามปีจะดีตลอดไป สวด สวด สวด และสวด……… ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบสนองต่อ “ความอยาก” ในใจตนเองเท่านั้น ศาสนาจะกลายเป็นความงมงายทันที หากคนในศาสนามัวแต่เปล่งเสียงพร่ำบ่นถึงการอ้อนวอนร้องขอ หลักคำสอนอันเป็น “สัจธรรม” ที่ว่า “กัมมุนา วัตตตี โลโก ทุกคนเป็นไปตามการกระทำของตน” ก็จะถูกทำลายลงในทันที ผู้คนก็จะยึดถือเอา “การสวด” เป็นประดุจดั่งแก่นสารของศาสนา เมื่อความงมงายได้เข้าครอบงำจิตใจคน ปัญญาของคนก็จะค่อยๆเหือดแห้งไป ผู้คนจะอยู่กันอย่างไร้เหตุผลมากขึ้น จารุวณฺโณ ภิกฺขุ พระอาจารย์ทวีวัฒน์ (พระอาจารย์ต้น) ที่มา: เฟซบุ๊คเพจ: พุทธรัตตัญญูชน #สวดมนต์#สวดมนต์ข้ามปี#ปัญญา#ธรรมะ#ธรรม#ธรรมทาน#ปฏิบัติธรรม#ฟังธรรม#คำสอนธรรมะ#ธรรมะสอนใจ#ธรรมะดีดี#วันพุทธ#พุทธศาสนา#พ้นทุกข์#สติ#ทุกข์#คิดดีทำดี#แบ่งปันธรรมะ#สัจจะธรรมชีวิต#เส้นทางสู่นิพพาน