จิตของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมายาวนาน สะสมสิ่งดี และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ไว้มากมาย โดยทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดีในจิต จะคอยกระตุ้นเตือนให้เราฝักไฝ่อยู่ในความดี หรือความชั่ว ด้วยการปฏิบัติต่อไปจากเส้นทางเดิมที่เคยทำไว้ให้ถึงที่สุด จิตเป็นที่สะสมของอาสวกิเลส ถ้าหากไม่ฝึกจิต เราก็จะตกเป็นทาสของกิเลสไปตลอดกาล แต่เมื่อฝึกฝน เราก็จะสามารถชำระสะสางกิเลสที่เกาะกุมอยู่ในจิตให้หลุดร่วงออกไปได้ การฝึกจิตจึงได้ชื่อว่า เป็นการทำลายมูลเหตุแห่งความทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นกับจิตของเราได้ หากไม่ฝึกก็เท่ากับเป็นการปล่อยให้จิตถูกเหยียบย่ำ ถูกทำลายด้วยอำนาจของกิเลส และสร้างทุกข์ให้กับจิตใจของเราเองเปล่า ๆ ซึ่งจะทำให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ด้วยความลำบากเปล่า เมื่อฝึกฝนก็จะแก้ไขและชำระกิเลสที่สะสมอยู่ในจิตได้ ความเบาใจ ความอบอุ่นใจ ความสงบร่มเย็นในจิตในใจก็จะเป็นผลเกิดขึ้นตามมาให้กับผู้ฝึกผู้ปฏิบัติได้รับรู้รับทราบ … การฝึกจิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะศาสนายังมีอยู่ในเวลานี้เมื่อศาสนายังมีอยู่ จึงไม่ควรปล่อยโอกาสของความมีอยู่ของศาสนาให้ผ่านพ้นไปเฉย ๆ แม้จะมีความทุกข์ ความยากลำบากเพียงใดก็ตาม ก็ต้องยอมปฏิบัติ ยอมฟัง ยอมแก้ไขจิตใจ ยอมพัฒนาจิตใจโดยอาศัยหลักคำสอนเข้าไปสู่การปฏิบัติ ก็จะทำให้เราเข้าถึงการพ้นทุกข์ได้ คุณธรรมในศาสนานี้ยังสามารถเข้าถึงได้เสมอ ความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และอรหันต์อย่างทรงคุณค่า มีอยู่ในศาสนานี้ และเป็นผลรองรับผู้ปฏิบัติทุกกาล ทุกยุค ทุกสมัย การไม่ประมาทในกุศล และทำการไม่ประมาทในข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ การเพ่งพินิจพิจารณาธรรมที่พระองค์ทรงสอนให้ พิจารณารูปธรรมกับนามธรรม พิจารณาให้รู้แจ่มแจ้งขึ้นมาภายในจิตว่า รูปธรรมคืออะไร นามธรรมคืออะไร เมื่อรู้แจ่มแจ้ง จนเข้าใจในชั้นของปัญญาอีกชั้นหนึ่งเรียกว่าวิปัสสนา…
Category: News
# ดับเหตุแห่งทุกข์
ความโลภ ไม่ได้เกิดจากวัตถุ หรือสิ่งของแต่เกิดจากความคิดของเราเองที่เห็นว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นมีประโยชน์ จึงเกิดความอยากได้นี่แหละคือ ความโลภ…. ความโกรธ ไม่ได้เกิดจากการกระทำ หรือคำพูดของใครแต่เกิดจากความคิดของเราเอง ที่เห็นว่าเขาทำไม่ถูก จึงเกิดความไม่พอใจนี่แหละคือ ความโกรธ…. ความหลง ไม่ได้เกิดจากวัตถุ บุคคล หรือสถานที่แต่เกิดจากความคิดของเราเอง ที่ปรุงแต่งหลอกตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความยินดียินร้ายนี่แหละคือ ความหลง…. เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจากความคิดของเราเองแล้ว ถามว่า เราจะไปดับความโลภ โกรธ หลง ที่ไหน ?…. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon ดูน้อยลง
#ชาติหน้ามีจริงหรือไม่?
ผู้ถาม : กราบถามพระอาจารย์ว่า ในฐานะของชาวพุทธ เราจะอธิบายเรื่องชาติหน้าและชาติก่อนตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างไร ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง?พระอาจารย์ : เรื่องนี้จะทราบได้ก็ด้วยอุปมาอุปไมย ขอย้อนถามว่า เราทราบได้อย่างไรว่า มะม่วงที่มีผลสุกเต็มที่ เมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน จะเกิดอีกหรือไม่?ผู้ถาม : เราย่อมทราบได้ โดยสังเกตดูเมล็ดมะม่วงที่ยังสมบูรณ์ดีอยู่ นานวันเข้าย่อมหยั่งรากลงสู่พื้นดิน แตกหน่อ งอกใบใหม่ขึ้นมา การเกิดใหม่ของเมล็ดมะม่วงก็ย่อมมีขึ้นพระอาจารย์ : เราทราบการเกิดใหม่ของเมล็ดมะม่วงได้ ฉันใด พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบการเกิดใหม่ของมนุษย์ประดุจดั่งเมล็ดมะม่วง ฉันนั้พระองค์ทราบความจริงเกี่ยวกับการเกิดใหม่ของมุษย์ จึงนำมาตรัสสอน พวกเราก็สามารถทราบเรื่องการเกิดใหม่ได้จากหลักคำสอนดังนี้มะม่วงที่มีผลสุก คือชาติก่อนมะม่วงที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น คือกระบวนการการเกิดใหม่การเกิดใหม่ของมนุษย์ในชาติหน้า ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืช คือเมล็ดพันธุ์ เปรียบเสมือน จิต (วิญญาณ)เนื้อในเมล็ดพันธุ์ เปรียบเสมือน ตัณหากรรม (ที่มนุษย์กระทำ) เปรียบเสมือน พื้นดินเมื่อเมล็ดพันธุ์ (แห่งจิต) ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน การบังเกิดขึ้นในภพชาติย่อมมีขึ้น … จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon
#หลักการของพระพุทธศาสนา
ปุจฉา : การเวียนว่ายตายเกิดในทางพุทธมีไหมครับเกิดมาใช้กรรม ที่ชีวิตไม่ดีเพราะกรรมเก่าส่งผล กรรมดีชักนำให้เจอสิ่งดีๆ สิ่งเหล่านี้พุทธศาสนาบอกว่าอย่างไรแน่ครับ *********** วิสัชชนา : หลักการของพุทธศาสนาคือ การดำเนินชีวิตเป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งการกระทำที่เกิดขึ้น ทำเหตุดี ผลก็ย่อมดี ทำเหตุไม่ดี ผลก็ย่อมไม่ดี เป็นอย่างนี้เสมอ ฉะนั้นชีวิตจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดลบันดาลของใคร แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยแห่งการกระทำของเราเอง หากชีวิตยังไม่สามารถค้นหาทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็ยังจะต้องมีการเกิดอีกอยู่เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงสอนทางออกจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยการปฏิบัติตามในหลักอริยมรรค ๘ จนเข้าถึงผลเห็นพระนิพพาน ก็จะสามารถดับการเกิดได้ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon ดูน้อยลง
#อย่าคล้อยตามอารมณ์
สภาวะอารมณ์ไม่เป็นไปตามบังคับบัญชาของผู้ใด แต่เป็นไปตามเรื่องราวของอารมณ์เอง ผู้ที่ทำตามอารมณ์ ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง เพราะการทำตามอารมณ์เป็นการขาดสติยับยั้งนั่นเอง ลักษณะทำร้ายตัวเองดังกล่าวข้างต้น เปรียบเสมือนกับการเอามีดมากรีดเนื้อตัวเอง การทำตามอารมณ์ครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับเอามีดมากรีดตัวเองหนึ่งครั้ง นั่นแหละคือความทุกข์ พระพุทธองค์จึงทรงบอกว่า อย่าคล้อยตามอารมณ์ การที่จะไม่คล้อยตามอารมณ์ได้ จะต้องเกิดจากการฝึก การฝึกจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น) #AjahnTon
#สังขาร
‘กุศล’ กับ ‘อกุศล’ จัดเป็น ‘สังขาร’ สังขารนี้เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณปฏิสนธิ คือ การสืบต่อแห่งจิต วิญญาณปฏิสนธิ จะทำการสืบต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่จิตได้รับรู้รับทราบ แต่ทุกอย่างในโลกนี้ก็หนีไม่พ้นจากขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (รูป นาม) เพื่อให้ขันธ์ ๕ ประกอบจิตให้ดำรงตนอยู่ได้ การสืบต่อนั้นจะสืบต่อทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะ) จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น) #AjahnTon
เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ให้ …
#อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่เกิดจากการกระทำในขณะนี้
อนาคตเกิดจากเหตุแห่งการกระทำในปัจจุบัน เราทำสิ่งใดก็ตามในปัจจุบันก็จะส่งผลไปยังอนาคต หมายถึงอนาคตเป็นไปตามเหตุแห่งการกระทำในปัจจุบันนี้ อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการกระทำในขณะนี้ที่จะส่งผลต่ออนาคต เหตุจากอดีตส่งผลในปัจจุบัน เหตุจากปัจจุบันส่งผลต่ออนาคต นั่นหมายถึงว่า อดีตจะมีมาอย่างไรก็ตาม หากเราทำปัจจุบันนี้อย่างถูกต้องตามเหตุปัจจัย เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคต เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราที่จะเป็นไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำเหตุปัจจัยแห่งการกระทำในปัจจุบันเอาไว้ อดีตจะส่งผลมาอย่างไรก็ตาม วิบากที่ได้รับในปัจจุบันนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่จะส่งต่อวิบากเก่าวิบากเดิมไปสู่อนาคตให้เป็นแบบเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร หากเรามีการเปลี่ยนแปลงการกระทำในปัจจุบันนี้ อนาคตก็จะเปลี่ยนทันที จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon
#การสอนจิตในขณะที่รู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องราวต่างๆ
เวลาที่มีความคิด ให้บอกจิตรู้แค่ว่า …นี้คือความคิดนี้คือความคิดของจิตนี้คือสิ่งที่จิตคิด รู้เพียงเท่านี้ก็พอ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ถือเป็นความคิดเช่นเดียวกัน คือ เป็นการปรุงแต่งทางความคิด การที่จะแยกว่า สิ่งนี้เป็นกุศลหรือสิ่งนี้เป็นอกุศล จะแยกก็ต่อเมื่อความคิดที่เกิดขึ้นกับจิตนั้นปรุงแต่งจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เราจึงจะตั้งความคิดแยกแยะว่า ความคิดนี้เป็นกุศลหรืออกุศล แต่หากเป็นความคิดธรรมดา ๆ ก็ให้เพียงแค่รู้ว่า นี้คือความคิดของจิต นี้คือสิ่งที่จิตคิด หรือความคิดกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังคิดต่อเรื่องนี้… จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon
#มุทิตาธรรม
“มุทิตา” คือการยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติเพื่อเป็นไปในมรรคในผล ตั้งจิตยินดี ไม่แข่งดี ไม่คิดว่าเขาเกินหน้าเกินตา มีแต่ตั้งจิตยินดีว่า “ดีแล้วที่เขาได้เข้าถึงธรรม” … การมีมุทิตาถือเป็นการกำจัด “ความริษยา” โมทนาหรือมุทิตาเป็นไปเพื่อกำจัดความริษยาที่เห็นคนอื่นได้ดีเกินหน้าเกินตาไม่ได้ “ริษยา” เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดอยู่แล้ว ไม่กำจัดไม่ได้ แล้วธรรมข้อไหนจะกำจัดริษยาได้ คำตอบก็คือ “มุทิตาธรรม” นี่แหละ มุทิตา คือ พลอยยินดี พลอยอนุโมทนาบุญ ให้มุทิตากันมาก ๆ จะได้ป้องกันจิตที่คิดเพ่งโทษ คิดไม่ดี คิดมุ่งร้าย ให้ตั้งจิตมุทิตาอยู่เสมอ เห็นใครทำดีก็อนุโมทนายินดีกับเขา … จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น) #AjahnTon
#ไม่ควรกล่าวโทษสิ่งใดง่ายๆ
หากมีเรื่องที่เลวร้ายเกิดขึ้นในสังคม เราไม่ควรที่จะกล่าวโทษสิ่งนั้น หากอยากจะกล่าวโทษ ก็ให้กล่าวโทษวัฏสงสาร ที่เราหาข้อยุติกับมันไม่ได้ นี่จึงจะเป็นการรักษาสัมมาทิฏฐิเอาไว้ได้ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ #พระอาจารย์ต้น #AjhanTon ๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
#ปัญหาของชีวิต
สิ่งที่เป็นปัญหาของชีวิตไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่คือความไม่รู้กาย ไม่รู้ใจของเรานั่นเอง … Our life problems aren’t rooted from external factors but rather from our own ignorance of the body and the mind. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
กระแสจิตที่ #ฟุ้งซ่าน จะดึงกลับมายังตนได้อย่างไร ?
ให้ #ระลึกถึงกายจิตจะซ่านไปไหนก็ตาม ให้ระลึกถึงกาย.เช่น นั่งอยู่ก็ให้รู้ว่านั่งยืนอยู่ก็ให้รู้ว่าเรากำลังยืนอยู่โดยมีเท้าสัมผัสกับพื้นอย่างไรหรือว่านอนอยู่ก็รับรู้ว่าร่างกายเราเป็นแบบไหนอย่างไรในขณะที่นอนหรือเดินอยู่ก็รับรู้อิริยาบทของการเดินทำกิจกรรมต่าง ๆ ในภาวะทางกายก็รับรู้ภาวะของกาย.การมี #สติระลึกอยู่ในกายจะดึงความฟุ้งซ่านกลับมาอยู่ที่ร่างกายนี้ก็จะตัดปัญหาเหล่านั้นออกไปการเจริญ #กายคตาสติ (ระลึกรู้อยู่ในกาย)จึงเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้จิตของเรานี้กลับมาตั้งมั่น และไม่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ได้ —————— พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม liveณ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๕ติดตามชมคลิปการสนทนาธรรมของหัวข้อนี้ได้ใน comment (๐.๕๑ นาที)
## รู้สึกอิจฉาใคร ห้ามทำ 3 สิ่งนี้ ถ้าไม่อยากให้นิสัยนี้อยู่กับเราตลอดไป ##
เราอาจจะกลายเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาคนอื่นก็ได้ แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม…..เพราะความรู้สึกอิจฉา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของจิต ซึ่งมันไม่ได้ผิด ถ้ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่กับเรา แต่ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้บ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกอิจฉา ความอิจฉาจะกลายเป็นนิสัยติดตัวของเราไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้อยากเป็น ใช่มั้ยล่ะ?# การกรทำที่เราควรระวัง คือ…1. อย่าพยายามแกล้งทำเป็นว่ายินดีเพื่อต้องการให้ใครมองว่าเราดีจุดนี้ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะต้องทำ เพื่อรักษามารยาท รักษาน้ำใจคนอื่นได้ ถ้าเพื่อจุดประสงค์นี้ สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราพยายามแสดงความยินดีมากเกินไป เพื่อจุดประสงค์ที่ “ต้องการให้ใคร ๆ มองว่าเราเป็นคนจิตใจดี” หรือ “เพื่อให้ใครมายอมรับเรา” ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆเพราะลองสังเกตุดู ว่าเมื่อเราทำแบบนั้น เราจะรู้สึกเหนื่อยมากกกก กับการพยายามทำเพื่อให้คนอื่นพอใจ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่โอเค เพราะจริง ๆ แล้ว เราเนี่ยแหล่ะ ที่ต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกดี เพราะคิดว่าเราจะรู้สึกดี จากการที่คนอื่นมองว่าเราดี แต่เมื่อทำไปจริง ๆ แล้ว มันโครตจะเหนื่อยเลยถ้าให้พูดตรง ๆ เลย รู้กันดีใช่มั้ยคะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่…
#คำว่ามีสติคือ..???
การมีสติ ไม่ได้หมายถึงว่าจิตเราจะต้องไม่ล่องลอยหนีออกไปจากกรรมฐานที่ทำ แต่เราจะเข้าใจทั้ง ๒ ส่วน คือส่วนของเจตนาที่มันอ่อนลง เมื่อเจตนาที่อ่อนลง ไม่ได้เป็นไปด้วยความสืบเนื่องในบทที่เรากระทำอยู่ หรือท่องอยู่ หรือพิจารณาอะไรอยู่.ฉะนั้นส่วนที่อยู่เหนือเจตนาจึงเข้ามาทำงานแทนที่โดยปกติ จิตไม่ได้ถูกดึงออกไปไหน หรือหนีออกไปไหน และไม่จำเป็นต้องดึงกลับมา สติสามารถรับรู้ได้ทั้งส่วนที่เป็นเจตนาเดิมที่อ่อนลง และส่วนที่นอกเจตนาที่ทำหน้าที่แทนเจตนาเดิมภายในจิตนั้น.เมื่อเรารู้ทั้ง ๒ ส่วน ดีไม่ดี ก็ให้ส่วนที่อยู่นอกเหนือเจตนานี่แหล่ะ ทำงานของเราไปเลย และเราก็รับรู้ว่า อ๋อ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งนี้เท่านั้นเอง.คำว่ามีสติก็คือ เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นอย่างนี้ในจิต ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับตนเอง ต้องอยู่กับตัวเอง ต้องควบคุม ต้องบังคับ ต้องให้มันนิ่งอยู่ตลอดหรืออยู่กับ กรรมฐานบทนั้นอยู่ตลอด มันไม่ใช่ นี่เป็นธรรมชาติโดยปกติอยู่ที่แล้ว ที่จะต้องมีเจตนา แล้วเจตนานั้นไม่สามารถเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยกำลังของเจตนานั้นอ่อนลง มันอ่อนลงได้เพราะมันยังไม่เพียงพอต่อการที่จะตั้งมั่น อันเหนือเจตนาก็เลยแทรกเข้ามา ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร ———- พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม liveณ พุทธอุทยานดอยเวียงเกี๋ยงวนาวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕