พระอาจารย์ได้อุปมาอุปไมยเกี่ยวกับตัวเรากับ #ขันธ์๕ขันธ์ ๕ คือ ตัวร่างกายนี้ เปรียบประดุจดั่ง #แก้วเราคือผู้มายึดถือครอบครองเอาเรียกว่า เราเป็นเจ้าของขันธ์คือตัว #ร่างกาย กับ #ใจ หรือชีวิตของเราเองเหมือนกับเราเป็นเจ้าของแก้ว.การเป็นเจ้าของไม่ได้หมายถึงว่าแก้วกับเราเป็นอันเดียวกัน คือ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันคนละสิ่งมันมีของอันหนึ่ง กับผู้เป็นเจ้าของอันหนึ่ง.ฉะนั้นเมื่อแก้วใบนี้เป็นที่รองรับสิ่งที่จะเอาไปใส่เข้าไปข้างใน เทน้ำร้อนลงไป แก้วนี้ก็ต้องร้อน เทน้ำเย็นลงไป แก้วนี้ก็ต้องเย็น.ชีวิตของเราบางที รับสุขบ้าง รับทุกข์บ้างเราก็ต้องปล่อยให้มันเป็น และ #เรียนรู้มันเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อมัน.#ว่าอะไรควรรู้#อะไรควรละ#อะไรควรทำให้แจ้ง และ #อะไรที่เราควรที่จะเจริญขึ้น.แต่เราจะไม่ไปยึดถืออาการของกายหรือชีวิต หรือขันธ์นี้หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับแก้วใบนี้มาเป็นสุขเป็นทุกข์ในตัวเรา.เพราะแก้วมันก็รับไปแล้ว รับผลตรงนั้นไปแล้วนอกจากว่าแรงแห่งการ #ยึดติดด้วยอำนาจของ #ตัณหา ที่เราไปยึดว่าแก้วได้รับกระทบกับสิ่งใดเราก็เป็นผู้ไปรับทุกข์พร้อมกับแก้วใบนั้นเพราะเรามีความรู้สึกว่า เรากับแก้วเป็นอันเดียวกัน .นี่คือเราขาด #ปัญญา ในการเรียนรู้จากความเป็นจริงและเราไม่สามารถแยกออกได้ว่า#เรากับแก้วเป็นอันเดียวกันหรือไม่เมื่อเราแยกไม่ออกมันก็เลยหลงอยู่กับกายกับใจของเราเองว่าคือแก้วใบนี้เมื่อเราหลงมากเข้า แม้แก้วใบนี้แตกมันก็จะส่งผลต่อความรู้สึกของเรา.แม้ร่างกายเรากำลังจะแก่ กำลังจะเจ็บ กำลังจะตายหรือกำลังจะเจอทุกข์อะไรต่าง ๆมันก็ส่งผลต่อผู้ที่เป็นเจ้าของ.ถ้าคิดถึงตัวผู้เป็นเจ้าของจริง ๆ ว่า#ใครเป็นเจ้าของของร่างกายเราตัวร่างกายเราจริง ๆ แล้วมีเจ้าของจริง ๆ อยู่ ๓ เจ้าก็คือ #นายชรา อันที่สองคือ #นายพยาธิอันที่สามคือ #นายมรณะ นี่คือ เจ้าของที่แท้จริง.ตอนนี้เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วนายชราก็จะนำไปหาความเจ็บคือ ส่งต่อไปให้นายพยาธิ เข้ามาทำหน้าที่ต่อนายพยาธิก็ส่งต่อไปให้นายมรณะนายมรณะ คือ ความตาย.นั่นหมายถึงว่าเรารอการตายอยู่ในการใช้ชีวิตของมนุษย์นี้เมื่อเราใช้ชีวิตโดยการรอการตายอยู่การหลงยึดถือในสิ่งที่มันแก่ มันเจ็บ มันตายพระองค์จึงสอนให้พุทธสาวกให้เข้าใจว่าเราจะไม่มีทางหลุดพ้นได้เลยถ้าเรายังยึดถือสิ่งที่ #แก่ สิ่งที่ #เจ็บ สิ่งที่ #ตาย ว่าเป็นตนเพราะเราก็จะต้องเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายอีกเกิดใหม่อีก ก็จะเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายอีกแต่เราไม่ได้รู้หรอกว่าเราจะเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตาย.เราใช้ชีวิตโดยการมั่นหมายในชีวิตว่าเป็นเราเป็นตัวตนของเราเราจะใช้ร่างกายชีวิตนี้ให้เป็นไปตามที่เราต้องการตราบที่อำนาจของ #ตัณหาที่คอยสั่งการและบอกใจเราอยู่ให้เราทำตามสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตอบสนองตามใจอยากซึ่งมันจะไม่มีทางหมดสิ้นไปได้กับความต้องการของ #ตัณหา ที่มันจะเกิดขึ้นเพราะใจของมนุษย์ไม่เคยอิ่ม.อย่าว่าแต่ใจเลยแม้แต่อายตนะเองทาง #ตา#หู#จมูก#ลิ้น#กาย#ใจพระองค์ก็เคยตรัสบอกว่า ตาไม่เคยอิ่มรูป มันอยากจะดูอยู่อย่างนั้นมันจะเห็นอยู่นั่นหนะ หูก็ไม่เคยอิ่มเสียง มันก็อยากจะฟังเสียงไปเรื่อย จมูกก็ไม่เคยอิ่มกลิ่น ลิ้นไม่เคยอิ่มรส กายไม่เคยอิ่มต่อการสัมผัส ใจก็ไม่เคยอิ่มกับอารมณ์มันจะกินอารมณ์กันอยู่อย่างนี้ จิตกับอารมณ์.ฉะนั้น เราอยู่กับสิ่งที่มันจะต้องมีตัณหาคอยผลักดันอยู่ตลอดตามความอยากตามความต้องการในชีวิตของพวกเรามันคือความเป็นจริงแล้วในความเป็นอยู่ที่มันมีทั้งตัณหา ทั้งความทุกข์เรามาเป็นเจ้าของร่างกายโดยการหลงยึดถือสิ่งที่เป็นของโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองนี้ สามารถเป็นอิสระจากตัวเองเป็นอิสระจากแก้วใบนี้ก็ได้แม้ว่ามันแตกไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆที่เราจะต้องไปทุกข์ ไปอะไรกับมัน.นี่คือความไม่เข้าใจของเราเราเลยไม่เป็นอิสระจากเรื่องราวอารมณ์ทั้งหลายที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่อะไรก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อกายกับใจทั้งชีวิตเราหรือความรู้สึกอะไรบางอย่างเราก็จะคว้ายึดจับมาเป็นปัญหาได้หมดทุกเรื่องทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็คือการที่เราไม่ได้แยกออกมาให้ได้เห็นความเป็นจริง ระหว่างเรากับสิ่งที่เป็นเจ้าของ…
#โยมปุจฉาพระอาจารย์พนมพรวิสัชนา
โยม : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ … การที่เรามองทุกคนว่า ต่างคนต่างไม่มีตัวตน สิ่งนี้จะช่วยให้ดับกิเลส ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงได้ และต้องใช้จิตที่นิ่งในการน้อมดึงเข้ามาในใจโดยตลอดใช่ไหมคะ พระอาจารย์พนมพร : เจริญพร การที่บุคคลจะเห็นว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ได้นั้น บุคคลนั้นจะต้องเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงนี่แหละ คือ สิ่งที่เราจะต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง คือปัญญา (ความรอบรู้ในกองสังขาร) อันแทงตลอดอริยสัจ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) … แน่นอน เมื่อแทงตลอดอริยสัจ ย่อมไม่โลภใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค … ย่อมไม่มีโกรธใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค … ย่อมไม่หลงใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ……
#ข้อแนะนำต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
เมื่อสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป เราควรระลึกถึงคุณค่าของบุคคลที่จากไปมากกว่าการที่จะเศร้าโศกเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น … คุณค่าของบุคคลคนนั้นที่เราเกี่ยวโยงผูกพันด้วย แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่ความทรงจำในเรื่องราวของเขายังอยู่ในใจของเรา ความทรงจำอันเป็นคุณค่านี้เอง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขายังอยู่ จากไปเพียงร่างกายเท่านั้น เราต้องยอมรับเรื่องการสูญเสียว่า มันคือความจริงที่เกิดขึ้น แต่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของผู้ที่จากไปในความดี ในสิ่งที่เราเคยเกี่ยวข้อง ในความสัมพันธ์ ในคุณประโยชน์ที่ได้กระทำต่อกันมา ระลึกถึงและตระหนักถึงคุณค่าให้มากกว่าการเศร้าโศกจากการสูญเสีย เราจะรับรู้ได้ว่า เราไม่ได้เสียใครไป โดยผู้ที่จากไปก็ยังเกี่ยวโยงกับเราอยู่ดังเดิม …. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
#ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยง#
ธรรมชาติเหล่าใดที่ไม่เที่ยง ธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนธรรมชาติที่ไม่เที่ยงให้เป็นของที่เที่ยงได้ ธรรมชาตินั้นจึงเป็นสัจจะในตัวของธรรมชาติเอง. ด้วยความที่ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงได้แสดงความไม่เที่ยงผ่านกายสังขารและจิตสังขารอยู่ทุกขณะ ความสำคัญมั่นหมายในการยึดกายสังขารและจิตสังขารว่าเป็นตน ทำให้ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงเบียดเบียนบีบคั้นผู้ยึดนั้นอยู่. เมื่อผู้ยึดถูกธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงเบียดเบียนบีบคั้นอยู่เรื่อยๆ ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เมื่อผู้ยึดมีความทุกข์ ก็ไม่อยากให้ตนเองมีความทุกข์ จึงสร้างตัณหาขึ้นมาผลักไสความทุกข์ออกจากตน ตัณหาจึงครอบงำผู้ยึดนั้นไว้ในวงจรแห่งความทุกข์. มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พ้นออกจากวงจรแห่งความทุกข์ได้ คือการวางกายสังขารและจิตสังขารไว้ตามธรรมชาติแห่งความเปลี่ยนแปลงของเขา อย่าสำคัญมั่นหมายในกายสังขารและจิตสังขารว่าเป็นตน แม้กายสังขารและจิตสังขารจะประสบกับความทุกข์ยากลำบากเพียงใดก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงที่แสดงตัวออกมาตามธรรมดาเท่านั้น. อวิชชา กิเลส อนุสัย สังโยชน์ กรรม และวิบาก จะส่งผลให้กายสังขารและจิตสังขารเป็นไปอย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงที่ปรากฏตามเหตุปัจจัยของชีวิต อย่าตื่นกลัวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องของสังขารที่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว. ความไม่สำคัญมั่นหมายในกายสังขารและจิตสังขารจะก่อให้เกิดปัญญาเข้าไปรับรู้ความไม่เที่ยงนั้น เมื่อความไม่เที่ยงถูกรับรู้อยู่ จึงไม่มีผู้หลงผิดเข้าไปยึดในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น ตัวตนที่จะเข้าไปรับผลแห่งความไม่เที่ยงในกายสังขารและจิตสังขารก็ไม่มี มีแต่ความไม่เที่ยงเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผู้กำหนดรู้ความไม่เที่ยงอยู่เสมอ ย่อมเห็นแจ้งในกายสังขารและจิตสังขารตามความเป็นจริง ผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมสลัดออกจากกองทุกข์ทั้งปวงได้. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เราทำได้ ✌️
แอด-มินท์คิดว่าเคล็ดลับของการปฏิบัติธรรมเพื่อรู้ธรรมมันก็มีอยู่แค่นี้ คือ ทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพราะจะให้ทำอะไรมากไปกว่านี้มันก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจาก การทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆได้แก่ ฟังย้ำ ๆ ซ้ำ ๆอ่านย้ำ ๆ ซ้ำ ๆท่องย้ำ ๆ ซ้ำ ๆคิดพิจารณาย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆคือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 และทุกครั้งที่มีความลังเลสงสัยว่าเราจะทำได้มั้ยแอด-มินท์ก็จะคิดเสมอว่าเราทำได้แน่ 💪เพราะการทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ นี้เป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เกิด เรา… อาบน้ำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆแปรงฟันย้ำ ๆ ซ้ำ ๆกินข้าว ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆนอนย้ำ ๆ ซ้ำ…
“ธรรมนาวามรรคภาวนา เพื่อความพ้นทุกข์”
✍️สรุปขั้นตอนการดำเนินมรรค (ฉบับปรับปรุงใหม่) ‼️‼️ตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์ปฏิปทา วัตร วางไว้ให้ 🙏 แอด-มินท์นั่งทำอยู่ตั้งนานหวังว่าแฟนเพจจะถูกใจ และนำไปใช้-ชอบ-แชร์ กันถ้วนหน้านะคะ ขอทุกคนได้ข้ามพ้นทะเลวนแห่งวัฏฏสงสารกันทุก ๆ คนเลยนะคะรวมถึงตัวแอด-มินท์ด้วย สาธุ สาธุ 😊 ป.ล. ภาพนี้ได้รับการตรวจจากพระอาจารย์ปฏิปทา วัตร และพระอาจารย์ The Rock Stone เรียบร้อยแล้ว 🌸
Seeking Wisdom in Suffering 💡💡💡
✍️ We must keep an open mind to study and understand our suffering. Be wise enough not to blind ourselves from its lessons. ✍️Suffering is a noble truth that we must comprehend; not a dreadful thing to escape. Most people view suffering as undesirable; thus, hindering themselves from such a precious learning opportunity. ✍️We must…
ครูเงาะพานักเรียนมาศึกษาธรรม ๑๑-๑๓ ก.ย. ๒๕๖๕
เส้นทางอริยมรรค EP๔
การเข้าสู่อริยภูมิ (ต่อ) (๔. พระอรหันต์) พระพุทธเจ้าทรงแสดงการละกิเลสไว้ในสังโยชน์ ๑๐ ประการที่จะทำให้บรรลุถึง “นิโรธ” (ความดับทุกข์) สำหรับ พระอนาคามี ที่จะเข้าสู่ความเป็น พระอรหันต์ การกำหนดรู้อริยสัจนั้น ให้กำหนดรู้ในสังโยชน์ต่อไปนี้คือ ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้ ตามแบบแสดงไว้ ๘ อย่าง ดังนี้ ๑. ไม่รู้อดีต ๒. ไม่รู้อนาคต ๓. ไม่รู้ปัจจุบัน ๔. ไม่รู้ทุกข์ ๕. ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ๖. ไม่รู้ความดับทุกข์ ๗. ไม่รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ๘. ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท (ธรรมอันอาศัยกันเกิดขึ้น) พระอนาคามีในระดับนี้ ยังไม่สามารถทำลายอวิชชาได้ จึงยังไม่พ้นจากวงจรการเกิด แต่ก็เป็นที่โชคดีที่การเกิดของท่านจะไม่หมุนกลับมาเกิดในมนุษย์และเทวดาอีก (กามธาตุ) เพราะการเกิดของท่านจะเกิดอยู่ในสุทธาวาสพรหม (วิภวตัณหา) ชั้นอกนิฏฐา (อะ-กะ-นิด-ถา) อันเป็นแดนใกล้ต่อพระนิพพาน ถึงแม้จะมีจิตที่ใกล้ต่อการบรรลุพระนิพพานก็ตาม แต่ถ้ายังไม่บรรลุ ก็ยังจะทำให้จิตมีทุกข์ได้ ถึงแม้จะเป็นทุกข์น้อยนิด ก็ไม่เป็นที่น่าปรารถนาของพระอนาคามีในขั้นนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องทำลายอวิชชาให้ได้…
#พระพุทธองค์กับการโต้วาทะ
#พระพุทธองค์กับการโต้วาทะ เมื่อคราวที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี คราวครั้งนั้น มีสัจจกนิครนถ์เป็นนักโต้ตอบ พูดยกตนว่าเป็นปราชญ์ ถูกยกย่องว่ามีความรู้มาก เขาประกาศตนเองไปทั่วเมืองเวสาลีว่า “เราไม่เห็นสมณะ หรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ที่ปฏิญญาว่าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เมื่อได้โต้ตอบกับเราแล้ว จะไม่ประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้แม้แต่คนเดียว หากเราโต้ตอบกับเสาที่ไม่มีเจตนา เสานั้นยังต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปใยถึงมนุษย์เล่า” ในวันหนึ่ง สัจจกนิครนถ์ได้เข้าไปหาพระพุทธองค์พร้อมด้วยบริวาร ปารภเรื่องที่จะโต้ตอบกับพระพุทธองค์ ได้กล่าวขึ้นว่า สัจจกะ : สมณโคดม ท่านสอนสาวกอย่างไร? พระพุทธองค์ : เรากล่าวสอนสาวกโดยมากว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร และมิใช่ตน สัจจกะ : ท่านผิดแล้วสมณโคดม พระพุทธองค์ : ผิดอย่างไรหรือ สัจจกะ? สัจจกะ : ก็เหมือนดั่งพืชพันธุ์ไม้ ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดินเท่านั้นถึงจะเจริญงอกงามได้ หรือการงานที่ต้องใช้กำลังวังชา ก็ต้องกระทำกันอยู่บนแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงกระทำกันได้ ฉันใด…