เราอาจจะกลายเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาคนอื่นก็ได้ แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม…..เพราะความรู้สึกอิจฉา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของจิต ซึ่งมันไม่ได้ผิด ถ้ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่กับเรา แต่ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้บ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกอิจฉา ความอิจฉาจะกลายเป็นนิสัยติดตัวของเราไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้อยากเป็น ใช่มั้ยล่ะ?# การกรทำที่เราควรระวัง คือ…1. อย่าพยายามแกล้งทำเป็นว่ายินดีเพื่อต้องการให้ใครมองว่าเราดีจุดนี้ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะต้องทำ เพื่อรักษามารยาท รักษาน้ำใจคนอื่นได้ ถ้าเพื่อจุดประสงค์นี้ สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราพยายามแสดงความยินดีมากเกินไป เพื่อจุดประสงค์ที่ “ต้องการให้ใคร ๆ มองว่าเราเป็นคนจิตใจดี” หรือ “เพื่อให้ใครมายอมรับเรา” ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆเพราะลองสังเกตุดู ว่าเมื่อเราทำแบบนั้น เราจะรู้สึกเหนื่อยมากกกก กับการพยายามทำเพื่อให้คนอื่นพอใจ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่โอเค เพราะจริง ๆ แล้ว เราเนี่ยแหล่ะ ที่ต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกดี เพราะคิดว่าเราจะรู้สึกดี จากการที่คนอื่นมองว่าเราดี แต่เมื่อทำไปจริง ๆ แล้ว มันโครตจะเหนื่อยเลยถ้าให้พูดตรง ๆ เลย รู้กันดีใช่มั้ยคะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่…
Category: News
#คำว่ามีสติคือ..???
การมีสติ ไม่ได้หมายถึงว่าจิตเราจะต้องไม่ล่องลอยหนีออกไปจากกรรมฐานที่ทำ แต่เราจะเข้าใจทั้ง ๒ ส่วน คือส่วนของเจตนาที่มันอ่อนลง เมื่อเจตนาที่อ่อนลง ไม่ได้เป็นไปด้วยความสืบเนื่องในบทที่เรากระทำอยู่ หรือท่องอยู่ หรือพิจารณาอะไรอยู่.ฉะนั้นส่วนที่อยู่เหนือเจตนาจึงเข้ามาทำงานแทนที่โดยปกติ จิตไม่ได้ถูกดึงออกไปไหน หรือหนีออกไปไหน และไม่จำเป็นต้องดึงกลับมา สติสามารถรับรู้ได้ทั้งส่วนที่เป็นเจตนาเดิมที่อ่อนลง และส่วนที่นอกเจตนาที่ทำหน้าที่แทนเจตนาเดิมภายในจิตนั้น.เมื่อเรารู้ทั้ง ๒ ส่วน ดีไม่ดี ก็ให้ส่วนที่อยู่นอกเหนือเจตนานี่แหล่ะ ทำงานของเราไปเลย และเราก็รับรู้ว่า อ๋อ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งนี้เท่านั้นเอง.คำว่ามีสติก็คือ เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นอย่างนี้ในจิต ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับตนเอง ต้องอยู่กับตัวเอง ต้องควบคุม ต้องบังคับ ต้องให้มันนิ่งอยู่ตลอดหรืออยู่กับ กรรมฐานบทนั้นอยู่ตลอด มันไม่ใช่ นี่เป็นธรรมชาติโดยปกติอยู่ที่แล้ว ที่จะต้องมีเจตนา แล้วเจตนานั้นไม่สามารถเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยกำลังของเจตนานั้นอ่อนลง มันอ่อนลงได้เพราะมันยังไม่เพียงพอต่อการที่จะตั้งมั่น อันเหนือเจตนาก็เลยแทรกเข้ามา ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร ———- พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม liveณ พุทธอุทยานดอยเวียงเกี๋ยงวนาวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕
#วิธีการสร้างปัญญา
การสร้างปัญญาในทางธรรมทำได้ ๒ วิธี๑. ฝึกคิดให้แยบคาย (โยนิโสมนสิการ)๒. หมั่นฟัง (อ่าน) เรื่องของผู้มีปัญญาให้มาก ๆ (ปรโตโฆสะ) จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
#ฆราวาสจะมีส่วนต่ออายุพระศาสนาได้อย่างไร
#ฆราวาส มีบทบาทที่สำคัญมากในการต่ออายุพระศาสนา ด้วยการ #ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะถ้าไม่ปฏิบัติ ลำพังเพียงพระภิกษุปฏิบัติก็ยังไม่ได้เพียงพอ ในการที่จะต่ออายุพระศาสนาเลย ทุกส่วนมีการเชื่อมโยงในโครงสร้างพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย #ภิกษุบริษัท#ภิกษุณีบริษัท #อุบาสกบริษัท และ #อุบาสิกาบริษัท ทั้งหลายมีความเชื่อมโยงต่อกันและกัน หมายถึงว่า ภิกษุปฏิบัติก็เพื่อที่จะนำ ให้ฆราวาสรับรู้รับทราบ(แนว)ทางการปฏิบัติ แล้วปฏิบัติให้เข้าถึงผล พระภิกษุรู้ธรรมเหล่าใด พึงบอกธรรมเหล่านั้นแก่ฆราวาสที่มุ่งบุญกุศล มุ่งประพฤติธรรมขัดเกลากิเลส เมื่อภิกษุบอกธรรมที่ตนเองได้รู้แล้วแก่ฆราวาส ฆราวาสเหล่านั้นย่อมมีสติปัญญา พากเพียรประพฤติปฏิบัติ เข้าถึงธรรมอันที่ภิกษุล่วงรู้นั้นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ๑.การกระทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไป และ ๒.ศาสนาเราก็จะได้รับการสืบต่อ สืบทอด แทบจะทุกด้านเลย ที่ฆราวาสเองมีส่วนในการสืบทอดพระพุทธศาสนา การดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนานี้ ถ้าขาดฆราวาสแล้ว ลำพังพระภิกษุฝ่ายเดียว ไม่สามารถจะนำสืบศาสนาต่อไปได้เลย —————— พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น) ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม live ณ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๕ ติดตามชมคลิปการสนทนาธรรมของหัวข้อนี้ได้ใน comment (๑.๕๗…
#ขันธ์๕กับแก้ว
พระอาจารย์ได้อุปมาอุปไมยเกี่ยวกับตัวเรากับ #ขันธ์๕ขันธ์ ๕ คือ ตัวร่างกายนี้ เปรียบประดุจดั่ง #แก้วเราคือผู้มายึดถือครอบครองเอาเรียกว่า เราเป็นเจ้าของขันธ์คือตัว #ร่างกาย กับ #ใจ หรือชีวิตของเราเองเหมือนกับเราเป็นเจ้าของแก้ว.การเป็นเจ้าของไม่ได้หมายถึงว่าแก้วกับเราเป็นอันเดียวกัน คือ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันคนละสิ่งมันมีของอันหนึ่ง กับผู้เป็นเจ้าของอันหนึ่ง.ฉะนั้นเมื่อแก้วใบนี้เป็นที่รองรับสิ่งที่จะเอาไปใส่เข้าไปข้างใน เทน้ำร้อนลงไป แก้วนี้ก็ต้องร้อน เทน้ำเย็นลงไป แก้วนี้ก็ต้องเย็น.ชีวิตของเราบางที รับสุขบ้าง รับทุกข์บ้างเราก็ต้องปล่อยให้มันเป็น และ #เรียนรู้มันเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อมัน.#ว่าอะไรควรรู้#อะไรควรละ#อะไรควรทำให้แจ้ง และ #อะไรที่เราควรที่จะเจริญขึ้น.แต่เราจะไม่ไปยึดถืออาการของกายหรือชีวิต หรือขันธ์นี้หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับแก้วใบนี้มาเป็นสุขเป็นทุกข์ในตัวเรา.เพราะแก้วมันก็รับไปแล้ว รับผลตรงนั้นไปแล้วนอกจากว่าแรงแห่งการ #ยึดติดด้วยอำนาจของ #ตัณหา ที่เราไปยึดว่าแก้วได้รับกระทบกับสิ่งใดเราก็เป็นผู้ไปรับทุกข์พร้อมกับแก้วใบนั้นเพราะเรามีความรู้สึกว่า เรากับแก้วเป็นอันเดียวกัน .นี่คือเราขาด #ปัญญา ในการเรียนรู้จากความเป็นจริงและเราไม่สามารถแยกออกได้ว่า#เรากับแก้วเป็นอันเดียวกันหรือไม่เมื่อเราแยกไม่ออกมันก็เลยหลงอยู่กับกายกับใจของเราเองว่าคือแก้วใบนี้เมื่อเราหลงมากเข้า แม้แก้วใบนี้แตกมันก็จะส่งผลต่อความรู้สึกของเรา.แม้ร่างกายเรากำลังจะแก่ กำลังจะเจ็บ กำลังจะตายหรือกำลังจะเจอทุกข์อะไรต่าง ๆมันก็ส่งผลต่อผู้ที่เป็นเจ้าของ.ถ้าคิดถึงตัวผู้เป็นเจ้าของจริง ๆ ว่า#ใครเป็นเจ้าของของร่างกายเราตัวร่างกายเราจริง ๆ แล้วมีเจ้าของจริง ๆ อยู่ ๓ เจ้าก็คือ #นายชรา อันที่สองคือ #นายพยาธิอันที่สามคือ #นายมรณะ นี่คือ เจ้าของที่แท้จริง.ตอนนี้เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วนายชราก็จะนำไปหาความเจ็บคือ ส่งต่อไปให้นายพยาธิ เข้ามาทำหน้าที่ต่อนายพยาธิก็ส่งต่อไปให้นายมรณะนายมรณะ คือ ความตาย.นั่นหมายถึงว่าเรารอการตายอยู่ในการใช้ชีวิตของมนุษย์นี้เมื่อเราใช้ชีวิตโดยการรอการตายอยู่การหลงยึดถือในสิ่งที่มันแก่ มันเจ็บ มันตายพระองค์จึงสอนให้พุทธสาวกให้เข้าใจว่าเราจะไม่มีทางหลุดพ้นได้เลยถ้าเรายังยึดถือสิ่งที่ #แก่ สิ่งที่ #เจ็บ สิ่งที่ #ตาย ว่าเป็นตนเพราะเราก็จะต้องเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายอีกเกิดใหม่อีก ก็จะเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายอีกแต่เราไม่ได้รู้หรอกว่าเราจะเกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตาย.เราใช้ชีวิตโดยการมั่นหมายในชีวิตว่าเป็นเราเป็นตัวตนของเราเราจะใช้ร่างกายชีวิตนี้ให้เป็นไปตามที่เราต้องการตราบที่อำนาจของ #ตัณหาที่คอยสั่งการและบอกใจเราอยู่ให้เราทำตามสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตอบสนองตามใจอยากซึ่งมันจะไม่มีทางหมดสิ้นไปได้กับความต้องการของ #ตัณหา ที่มันจะเกิดขึ้นเพราะใจของมนุษย์ไม่เคยอิ่ม.อย่าว่าแต่ใจเลยแม้แต่อายตนะเองทาง #ตา#หู#จมูก#ลิ้น#กาย#ใจพระองค์ก็เคยตรัสบอกว่า ตาไม่เคยอิ่มรูป มันอยากจะดูอยู่อย่างนั้นมันจะเห็นอยู่นั่นหนะ หูก็ไม่เคยอิ่มเสียง มันก็อยากจะฟังเสียงไปเรื่อย จมูกก็ไม่เคยอิ่มกลิ่น ลิ้นไม่เคยอิ่มรส กายไม่เคยอิ่มต่อการสัมผัส ใจก็ไม่เคยอิ่มกับอารมณ์มันจะกินอารมณ์กันอยู่อย่างนี้ จิตกับอารมณ์.ฉะนั้น เราอยู่กับสิ่งที่มันจะต้องมีตัณหาคอยผลักดันอยู่ตลอดตามความอยากตามความต้องการในชีวิตของพวกเรามันคือความเป็นจริงแล้วในความเป็นอยู่ที่มันมีทั้งตัณหา ทั้งความทุกข์เรามาเป็นเจ้าของร่างกายโดยการหลงยึดถือสิ่งที่เป็นของโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองนี้ สามารถเป็นอิสระจากตัวเองเป็นอิสระจากแก้วใบนี้ก็ได้แม้ว่ามันแตกไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆที่เราจะต้องไปทุกข์ ไปอะไรกับมัน.นี่คือความไม่เข้าใจของเราเราเลยไม่เป็นอิสระจากเรื่องราวอารมณ์ทั้งหลายที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่อะไรก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อกายกับใจทั้งชีวิตเราหรือความรู้สึกอะไรบางอย่างเราก็จะคว้ายึดจับมาเป็นปัญหาได้หมดทุกเรื่องทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็คือการที่เราไม่ได้แยกออกมาให้ได้เห็นความเป็นจริง ระหว่างเรากับสิ่งที่เป็นเจ้าของ…
#โยมปุจฉาพระอาจารย์พนมพรวิสัชนา
โยม : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ … การที่เรามองทุกคนว่า ต่างคนต่างไม่มีตัวตน สิ่งนี้จะช่วยให้ดับกิเลส ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงได้ และต้องใช้จิตที่นิ่งในการน้อมดึงเข้ามาในใจโดยตลอดใช่ไหมคะ พระอาจารย์พนมพร : เจริญพร การที่บุคคลจะเห็นว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ได้นั้น บุคคลนั้นจะต้องเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงนี่แหละ คือ สิ่งที่เราจะต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง คือปัญญา (ความรอบรู้ในกองสังขาร) อันแทงตลอดอริยสัจ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) … แน่นอน เมื่อแทงตลอดอริยสัจ ย่อมไม่โลภใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค … ย่อมไม่มีโกรธใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค … ย่อมไม่หลงใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ……
#ข้อแนะนำต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
เมื่อสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป เราควรระลึกถึงคุณค่าของบุคคลที่จากไปมากกว่าการที่จะเศร้าโศกเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น … คุณค่าของบุคคลคนนั้นที่เราเกี่ยวโยงผูกพันด้วย แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่ความทรงจำในเรื่องราวของเขายังอยู่ในใจของเรา ความทรงจำอันเป็นคุณค่านี้เอง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขายังอยู่ จากไปเพียงร่างกายเท่านั้น เราต้องยอมรับเรื่องการสูญเสียว่า มันคือความจริงที่เกิดขึ้น แต่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของผู้ที่จากไปในความดี ในสิ่งที่เราเคยเกี่ยวข้อง ในความสัมพันธ์ ในคุณประโยชน์ที่ได้กระทำต่อกันมา ระลึกถึงและตระหนักถึงคุณค่าให้มากกว่าการเศร้าโศกจากการสูญเสีย เราจะรับรู้ได้ว่า เราไม่ได้เสียใครไป โดยผู้ที่จากไปก็ยังเกี่ยวโยงกับเราอยู่ดังเดิม …. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
#ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยง#
ธรรมชาติเหล่าใดที่ไม่เที่ยง ธรรมชาติเหล่านั้นก็ย่อมไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนธรรมชาติที่ไม่เที่ยงให้เป็นของที่เที่ยงได้ ธรรมชาตินั้นจึงเป็นสัจจะในตัวของธรรมชาติเอง. ด้วยความที่ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงได้แสดงความไม่เที่ยงผ่านกายสังขารและจิตสังขารอยู่ทุกขณะ ความสำคัญมั่นหมายในการยึดกายสังขารและจิตสังขารว่าเป็นตน ทำให้ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงเบียดเบียนบีบคั้นผู้ยึดนั้นอยู่. เมื่อผู้ยึดถูกธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงเบียดเบียนบีบคั้นอยู่เรื่อยๆ ความทุกข์จึงเกิดขึ้น เมื่อผู้ยึดมีความทุกข์ ก็ไม่อยากให้ตนเองมีความทุกข์ จึงสร้างตัณหาขึ้นมาผลักไสความทุกข์ออกจากตน ตัณหาจึงครอบงำผู้ยึดนั้นไว้ในวงจรแห่งความทุกข์. มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พ้นออกจากวงจรแห่งความทุกข์ได้ คือการวางกายสังขารและจิตสังขารไว้ตามธรรมชาติแห่งความเปลี่ยนแปลงของเขา อย่าสำคัญมั่นหมายในกายสังขารและจิตสังขารว่าเป็นตน แม้กายสังขารและจิตสังขารจะประสบกับความทุกข์ยากลำบากเพียงใดก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยงที่แสดงตัวออกมาตามธรรมดาเท่านั้น. อวิชชา กิเลส อนุสัย สังโยชน์ กรรม และวิบาก จะส่งผลให้กายสังขารและจิตสังขารเป็นไปอย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องของความไม่เที่ยงที่ปรากฏตามเหตุปัจจัยของชีวิต อย่าตื่นกลัวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องของสังขารที่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว. ความไม่สำคัญมั่นหมายในกายสังขารและจิตสังขารจะก่อให้เกิดปัญญาเข้าไปรับรู้ความไม่เที่ยงนั้น เมื่อความไม่เที่ยงถูกรับรู้อยู่ จึงไม่มีผู้หลงผิดเข้าไปยึดในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้น ตัวตนที่จะเข้าไปรับผลแห่งความไม่เที่ยงในกายสังขารและจิตสังขารก็ไม่มี มีแต่ความไม่เที่ยงเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ ผู้กำหนดรู้ความไม่เที่ยงอยู่เสมอ ย่อมเห็นแจ้งในกายสังขารและจิตสังขารตามความเป็นจริง ผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมสลัดออกจากกองทุกข์ทั้งปวงได้. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เราทำได้ 
แอด-มินท์คิดว่าเคล็ดลับของการปฏิบัติธรรมเพื่อรู้ธรรมมันก็มีอยู่แค่นี้ คือ ทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพราะจะให้ทำอะไรมากไปกว่านี้มันก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจาก การทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆได้แก่ ฟังย้ำ ๆ ซ้ำ ๆอ่านย้ำ ๆ ซ้ำ ๆท่องย้ำ ๆ ซ้ำ ๆคิดพิจารณาย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆคือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 และทุกครั้งที่มีความลังเลสงสัยว่าเราจะทำได้มั้ยแอด-มินท์ก็จะคิดเสมอว่าเราทำได้แน่ เพราะการทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ นี้เป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เกิด เรา… อาบน้ำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆแปรงฟันย้ำ ๆ ซ้ำ ๆกินข้าว ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆนอนย้ำ ๆ ซ้ำ…
“ธรรมนาวามรรคภาวนา เพื่อความพ้นทุกข์”
สรุปขั้นตอนการดำเนินมรรค (ฉบับปรับปรุงใหม่)
ตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์ปฏิปทา วัตร วางไว้ให้
แอด-มินท์นั่งทำอยู่ตั้งนานหวังว่าแฟนเพจจะถูกใจ และนำไปใช้-ชอบ-แชร์ กันถ้วนหน้านะคะ ขอทุกคนได้ข้ามพ้นทะเลวนแห่งวัฏฏสงสารกันทุก ๆ คนเลยนะคะรวมถึงตัวแอด-มินท์ด้วย สาธุ สาธุ
ป.ล. ภาพนี้ได้รับการตรวจจากพระอาจารย์ปฏิปทา วัตร และพระอาจารย์ The Rock Stone เรียบร้อยแล้ว
Seeking Wisdom in Suffering 


We must keep an open mind to study and understand our suffering. Be wise enough not to blind ourselves from its lessons.
Suffering is a noble truth that we must comprehend; not a dreadful thing to escape. Most people view suffering as undesirable; thus, hindering themselves from such a precious learning opportunity.
We must…
ครูเงาะพานักเรียนมาศึกษาธรรม ๑๑-๑๓ ก.ย. ๒๕๖๕
เส้นทางอริยมรรค EP๔
การเข้าสู่อริยภูมิ (ต่อ) (๔. พระอรหันต์) พระพุทธเจ้าทรงแสดงการละกิเลสไว้ในสังโยชน์ ๑๐ ประการที่จะทำให้บรรลุถึง “นิโรธ” (ความดับทุกข์) สำหรับ พระอนาคามี ที่จะเข้าสู่ความเป็น พระอรหันต์ การกำหนดรู้อริยสัจนั้น ให้กำหนดรู้ในสังโยชน์ต่อไปนี้คือ ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้ ตามแบบแสดงไว้ ๘ อย่าง ดังนี้ ๑. ไม่รู้อดีต ๒. ไม่รู้อนาคต ๓. ไม่รู้ปัจจุบัน ๔. ไม่รู้ทุกข์ ๕. ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ๖. ไม่รู้ความดับทุกข์ ๗. ไม่รู้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ๘. ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท (ธรรมอันอาศัยกันเกิดขึ้น) พระอนาคามีในระดับนี้ ยังไม่สามารถทำลายอวิชชาได้ จึงยังไม่พ้นจากวงจรการเกิด แต่ก็เป็นที่โชคดีที่การเกิดของท่านจะไม่หมุนกลับมาเกิดในมนุษย์และเทวดาอีก (กามธาตุ) เพราะการเกิดของท่านจะเกิดอยู่ในสุทธาวาสพรหม (วิภวตัณหา) ชั้นอกนิฏฐา (อะ-กะ-นิด-ถา) อันเป็นแดนใกล้ต่อพระนิพพาน ถึงแม้จะมีจิตที่ใกล้ต่อการบรรลุพระนิพพานก็ตาม แต่ถ้ายังไม่บรรลุ ก็ยังจะทำให้จิตมีทุกข์ได้ ถึงแม้จะเป็นทุกข์น้อยนิด ก็ไม่เป็นที่น่าปรารถนาของพระอนาคามีในขั้นนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องทำลายอวิชชาให้ได้…
#พระพุทธองค์กับการโต้วาทะ
#พระพุทธองค์กับการโต้วาทะ เมื่อคราวที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี คราวครั้งนั้น มีสัจจกนิครนถ์เป็นนักโต้ตอบ พูดยกตนว่าเป็นปราชญ์ ถูกยกย่องว่ามีความรู้มาก เขาประกาศตนเองไปทั่วเมืองเวสาลีว่า “เราไม่เห็นสมณะ หรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ที่ปฏิญญาว่าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ เมื่อได้โต้ตอบกับเราแล้ว จะไม่ประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้แม้แต่คนเดียว หากเราโต้ตอบกับเสาที่ไม่มีเจตนา เสานั้นยังต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปใยถึงมนุษย์เล่า” ในวันหนึ่ง สัจจกนิครนถ์ได้เข้าไปหาพระพุทธองค์พร้อมด้วยบริวาร ปารภเรื่องที่จะโต้ตอบกับพระพุทธองค์ ได้กล่าวขึ้นว่า สัจจกะ : สมณโคดม ท่านสอนสาวกอย่างไร? พระพุทธองค์ : เรากล่าวสอนสาวกโดยมากว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร และมิใช่ตน สัจจกะ : ท่านผิดแล้วสมณโคดม พระพุทธองค์ : ผิดอย่างไรหรือ สัจจกะ? สัจจกะ : ก็เหมือนดั่งพืชพันธุ์ไม้ ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดินเท่านั้นถึงจะเจริญงอกงามได้ หรือการงานที่ต้องใช้กำลังวังชา ก็ต้องกระทำกันอยู่บนแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดิน จึงกระทำกันได้ ฉันใด…
เส้นทางอริยมรรค EP๓
#การเข้าสู่อริยภูมิ (ต่อ) (๓. อนาคามี) พระพุทธเจ้าทรงแสดงการละกิเลสไว้ในสังโยชน์ ๑๐ ประการที่จะทำให้บรรลุถึง “นิโรธ” (ความดับทุกข์) สำหรับชั้น อนาคามี การกำหนดรู้อริยสัจนั้น ให้กำหนดรู้ในสังโยชน์ต่อไปนี้คือ ๕. รูปราคะ ความติดใจในรูปฌาน ๖. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปฌาน ราคะมีอยู่ ๒ ชั้น ที่พระอนาคามี “ละ” ได้นั้น เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกาม เรียก กามราคะ ส่วน รูปราคะ เป็นความยินดีในรูป สิ่งใด ๆ ก็ตามที่เป็นวัตถุรูป ปรากฏตั้งอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปหยาบ รูปละเอียด รูปใกล้ รูปไกล รูปเลว รูปประณีต รูปนอก รูปใน รูปทั้งหมดนี้เป็นที่ตั้งที่อยู่ของราคะ พระอนาคามียังมีความ “ยินดี” ในรูปเหล่านี้อยู่ รูปราคสังโยชน์ก็ยังผูกใจของพระอนาคามีได้ ส่วน อรูปราคะ คือ ความยินดีในมรรคผล คุณธรรมขั้นต้น ๆ ที่เกิดขึ้นในจิต…