อนาคตเกิดจากเหตุแห่งการกระทำในปัจจุบัน เราทำสิ่งใดก็ตามในปัจจุบันก็จะส่งผลไปยังอนาคต หมายถึงอนาคตเป็นไปตามเหตุแห่งการกระทำในปัจจุบันนี้ อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการกระทำในขณะนี้ที่จะส่งผลต่ออนาคต เหตุจากอดีตส่งผลในปัจจุบัน เหตุจากปัจจุบันส่งผลต่ออนาคต นั่นหมายถึงว่า อดีตจะมีมาอย่างไรก็ตาม หากเราทำปัจจุบันนี้อย่างถูกต้องตามเหตุปัจจัย เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคต เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราที่จะเป็นไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำเหตุปัจจัยแห่งการกระทำในปัจจุบันเอาไว้ อดีตจะส่งผลมาอย่างไรก็ตาม วิบากที่ได้รับในปัจจุบันนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่จะส่งต่อวิบากเก่าวิบากเดิมไปสู่อนาคตให้เป็นแบบเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร หากเรามีการเปลี่ยนแปลงการกระทำในปัจจุบันนี้ อนาคตก็จะเปลี่ยนทันที จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon
#การสอนจิตในขณะที่รู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องราวต่างๆ
เวลาที่มีความคิด ให้บอกจิตรู้แค่ว่า …นี้คือความคิดนี้คือความคิดของจิตนี้คือสิ่งที่จิตคิด รู้เพียงเท่านี้ก็พอ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ถือเป็นความคิดเช่นเดียวกัน คือ เป็นการปรุงแต่งทางความคิด การที่จะแยกว่า สิ่งนี้เป็นกุศลหรือสิ่งนี้เป็นอกุศล จะแยกก็ต่อเมื่อความคิดที่เกิดขึ้นกับจิตนั้นปรุงแต่งจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เราจึงจะตั้งความคิดแยกแยะว่า ความคิดนี้เป็นกุศลหรืออกุศล แต่หากเป็นความคิดธรรมดา ๆ ก็ให้เพียงแค่รู้ว่า นี้คือความคิดของจิต นี้คือสิ่งที่จิตคิด หรือความคิดกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังคิดต่อเรื่องนี้… จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon
#มุทิตาธรรม
“มุทิตา” คือการยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติเพื่อเป็นไปในมรรคในผล ตั้งจิตยินดี ไม่แข่งดี ไม่คิดว่าเขาเกินหน้าเกินตา มีแต่ตั้งจิตยินดีว่า “ดีแล้วที่เขาได้เข้าถึงธรรม” … การมีมุทิตาถือเป็นการกำจัด “ความริษยา” โมทนาหรือมุทิตาเป็นไปเพื่อกำจัดความริษยาที่เห็นคนอื่นได้ดีเกินหน้าเกินตาไม่ได้ “ริษยา” เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดอยู่แล้ว ไม่กำจัดไม่ได้ แล้วธรรมข้อไหนจะกำจัดริษยาได้ คำตอบก็คือ “มุทิตาธรรม” นี่แหละ มุทิตา คือ พลอยยินดี พลอยอนุโมทนาบุญ ให้มุทิตากันมาก ๆ จะได้ป้องกันจิตที่คิดเพ่งโทษ คิดไม่ดี คิดมุ่งร้าย ให้ตั้งจิตมุทิตาอยู่เสมอ เห็นใครทำดีก็อนุโมทนายินดีกับเขา … จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น) #AjahnTon
#ไม่ควรกล่าวโทษสิ่งใดง่ายๆ
หากมีเรื่องที่เลวร้ายเกิดขึ้นในสังคม เราไม่ควรที่จะกล่าวโทษสิ่งนั้น หากอยากจะกล่าวโทษ ก็ให้กล่าวโทษวัฏสงสาร ที่เราหาข้อยุติกับมันไม่ได้ นี่จึงจะเป็นการรักษาสัมมาทิฏฐิเอาไว้ได้ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ #พระอาจารย์ต้น #AjhanTon ๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
#ปัญหาของชีวิต
สิ่งที่เป็นปัญหาของชีวิตไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่คือความไม่รู้กาย ไม่รู้ใจของเรานั่นเอง … Our life problems aren’t rooted from external factors but rather from our own ignorance of the body and the mind. จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
กระแสจิตที่ #ฟุ้งซ่าน จะดึงกลับมายังตนได้อย่างไร ?
ให้ #ระลึกถึงกายจิตจะซ่านไปไหนก็ตาม ให้ระลึกถึงกาย.เช่น นั่งอยู่ก็ให้รู้ว่านั่งยืนอยู่ก็ให้รู้ว่าเรากำลังยืนอยู่โดยมีเท้าสัมผัสกับพื้นอย่างไรหรือว่านอนอยู่ก็รับรู้ว่าร่างกายเราเป็นแบบไหนอย่างไรในขณะที่นอนหรือเดินอยู่ก็รับรู้อิริยาบทของการเดินทำกิจกรรมต่าง ๆ ในภาวะทางกายก็รับรู้ภาวะของกาย.การมี #สติระลึกอยู่ในกายจะดึงความฟุ้งซ่านกลับมาอยู่ที่ร่างกายนี้ก็จะตัดปัญหาเหล่านั้นออกไปการเจริญ #กายคตาสติ (ระลึกรู้อยู่ในกาย)จึงเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้จิตของเรานี้กลับมาตั้งมั่น และไม่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ได้ —————— พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม liveณ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๕ติดตามชมคลิปการสนทนาธรรมของหัวข้อนี้ได้ใน comment (๐.๕๑ นาที)
## รู้สึกอิจฉาใคร ห้ามทำ 3 สิ่งนี้ ถ้าไม่อยากให้นิสัยนี้อยู่กับเราตลอดไป ##
เราอาจจะกลายเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาคนอื่นก็ได้ แม้เราจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม…..เพราะความรู้สึกอิจฉา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของจิต ซึ่งมันไม่ได้ผิด ถ้ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่กับเรา แต่ถ้าเราทำ 3 สิ่งนี้บ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกอิจฉา ความอิจฉาจะกลายเป็นนิสัยติดตัวของเราไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้อยากเป็น ใช่มั้ยล่ะ?# การกรทำที่เราควรระวัง คือ…1. อย่าพยายามแกล้งทำเป็นว่ายินดีเพื่อต้องการให้ใครมองว่าเราดีจุดนี้ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ควรจะต้องทำ เพื่อรักษามารยาท รักษาน้ำใจคนอื่นได้ ถ้าเพื่อจุดประสงค์นี้ สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราพยายามแสดงความยินดีมากเกินไป เพื่อจุดประสงค์ที่ “ต้องการให้ใคร ๆ มองว่าเราเป็นคนจิตใจดี” หรือ “เพื่อให้ใครมายอมรับเรา” ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆเพราะลองสังเกตุดู ว่าเมื่อเราทำแบบนั้น เราจะรู้สึกเหนื่อยมากกกก กับการพยายามทำเพื่อให้คนอื่นพอใจ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่โอเค เพราะจริง ๆ แล้ว เราเนี่ยแหล่ะ ที่ต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกดี เพราะคิดว่าเราจะรู้สึกดี จากการที่คนอื่นมองว่าเราดี แต่เมื่อทำไปจริง ๆ แล้ว มันโครตจะเหนื่อยเลยถ้าให้พูดตรง ๆ เลย รู้กันดีใช่มั้ยคะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่…
#คำว่ามีสติคือ..???
การมีสติ ไม่ได้หมายถึงว่าจิตเราจะต้องไม่ล่องลอยหนีออกไปจากกรรมฐานที่ทำ แต่เราจะเข้าใจทั้ง ๒ ส่วน คือส่วนของเจตนาที่มันอ่อนลง เมื่อเจตนาที่อ่อนลง ไม่ได้เป็นไปด้วยความสืบเนื่องในบทที่เรากระทำอยู่ หรือท่องอยู่ หรือพิจารณาอะไรอยู่.ฉะนั้นส่วนที่อยู่เหนือเจตนาจึงเข้ามาทำงานแทนที่โดยปกติ จิตไม่ได้ถูกดึงออกไปไหน หรือหนีออกไปไหน และไม่จำเป็นต้องดึงกลับมา สติสามารถรับรู้ได้ทั้งส่วนที่เป็นเจตนาเดิมที่อ่อนลง และส่วนที่นอกเจตนาที่ทำหน้าที่แทนเจตนาเดิมภายในจิตนั้น.เมื่อเรารู้ทั้ง ๒ ส่วน ดีไม่ดี ก็ให้ส่วนที่อยู่นอกเหนือเจตนานี่แหล่ะ ทำงานของเราไปเลย และเราก็รับรู้ว่า อ๋อ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งนี้เท่านั้นเอง.คำว่ามีสติก็คือ เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นอย่างนี้ในจิต ไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจิตให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับตนเอง ต้องอยู่กับตัวเอง ต้องควบคุม ต้องบังคับ ต้องให้มันนิ่งอยู่ตลอดหรืออยู่กับ กรรมฐานบทนั้นอยู่ตลอด มันไม่ใช่ นี่เป็นธรรมชาติโดยปกติอยู่ที่แล้ว ที่จะต้องมีเจตนา แล้วเจตนานั้นไม่สามารถเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องด้วยกำลังของเจตนานั้นอ่อนลง มันอ่อนลงได้เพราะมันยังไม่เพียงพอต่อการที่จะตั้งมั่น อันเหนือเจตนาก็เลยแทรกเข้ามา ก็ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร ———- พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น)ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม liveณ พุทธอุทยานดอยเวียงเกี๋ยงวนาวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕
#วิธีการสร้างปัญญา
การสร้างปัญญาในทางธรรมทำได้ ๒ วิธี๑. ฝึกคิดให้แยบคาย (โยนิโสมนสิการ)๒. หมั่นฟัง (อ่าน) เรื่องของผู้มีปัญญาให้มาก ๆ (ปรโตโฆสะ) จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)#AjahnTon‘
#ฆราวาสจะมีส่วนต่ออายุพระศาสนาได้อย่างไร
#ฆราวาส มีบทบาทที่สำคัญมากในการต่ออายุพระศาสนา ด้วยการ #ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะถ้าไม่ปฏิบัติ ลำพังเพียงพระภิกษุปฏิบัติก็ยังไม่ได้เพียงพอ ในการที่จะต่ออายุพระศาสนาเลย ทุกส่วนมีการเชื่อมโยงในโครงสร้างพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย #ภิกษุบริษัท#ภิกษุณีบริษัท #อุบาสกบริษัท และ #อุบาสิกาบริษัท ทั้งหลายมีความเชื่อมโยงต่อกันและกัน หมายถึงว่า ภิกษุปฏิบัติก็เพื่อที่จะนำ ให้ฆราวาสรับรู้รับทราบ(แนว)ทางการปฏิบัติ แล้วปฏิบัติให้เข้าถึงผล พระภิกษุรู้ธรรมเหล่าใด พึงบอกธรรมเหล่านั้นแก่ฆราวาสที่มุ่งบุญกุศล มุ่งประพฤติธรรมขัดเกลากิเลส เมื่อภิกษุบอกธรรมที่ตนเองได้รู้แล้วแก่ฆราวาส ฆราวาสเหล่านั้นย่อมมีสติปัญญา พากเพียรประพฤติปฏิบัติ เข้าถึงธรรมอันที่ภิกษุล่วงรู้นั้นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ๑.การกระทำความทุกข์ให้หมดสิ้นไป และ ๒.ศาสนาเราก็จะได้รับการสืบต่อ สืบทอด แทบจะทุกด้านเลย ที่ฆราวาสเองมีส่วนในการสืบทอดพระพุทธศาสนา การดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนานี้ ถ้าขาดฆราวาสแล้ว ลำพังพระภิกษุฝ่ายเดียว ไม่สามารถจะนำสืบศาสนาต่อไปได้เลย —————— พระอาจารย์จารุวณฺโณ ภิกขุ (พระอาจารย์ต้น) ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรม live ณ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันอาทิตย์ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๕ ติดตามชมคลิปการสนทนาธรรมของหัวข้อนี้ได้ใน comment (๑.๕๗…